1. AI-Driven DevOps : AI ช่วยลดงานที่ซ้ำซ้อน ทั้งการตรวจสอบ Pipeline วิเคราะห์ข้อผิดพลาดใน Deployment ช่วยคาดการณ์ปัญหาที่เกิดจาก Logs และประวัติการใช้งาน เช่น ในระบบที่มีการ Deploy Application หลายครั้งต่อวัน AI จะวิเคราะห์ความล้มเหลวและเสนอ Configuration ช่วยลด Downtime และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ
2. Multi-Cloud Strategies : องค์กรต่าง ๆ ได้นำกลยุทธ์ Multi-Cloud มาใช้เพื่อเลี่ยงการผูกติดกับผู้ให้บริการรายเดียวด้วยการกระจาย workload ไปยัง Cloud หลายแห่ง ทำให้องค์กรมีความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยง
3. DevSecOps Integration : การนำ DevSecOps มาใช้ช่วยผสานความปลอดภัยเข้าสู่กระบวนการพัฒนาตั้งแต่ต้น เช่น การสแกนหาช่องโหว่ด้วย SonarQube หรือการใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับการทำ Automation เพื่อลดช่องโหว่และเสริมสร้างวัฒนธรรม Shift-Left Security
4. Real-Time Observability and Insights : Observability ช่วยให้ทีม DevOps มองเห็นระบบอย่างลึกซึ้ง เช่น การใช้ Grafana และ Prometheus เพื่อติดตามประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์ในช่วงที่มีการใช้งานสูง จึงแก้ปัญหาได้ทันที ลดผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
5. Platform Engineering : ช่วยสร้าง Self-Service Tools ที่ให้นักพัฒนาจัดการงานได้ด้วยตัวเอง เช่น xPlatform จาก SCB TechX ซึ่งเป็น Platform DevOps as a Service ที่ช่วยให้นักพัฒนาจัดการ CI/CD Pipelines ตรวจสอบค่าใช้จ่ายด้าน Cloud และควบคุม Service ต่างๆ ได้ในที่เดียว นอกจากนี้ยังช่วยลดเวลา Deployment และเพิ่มความปลอดภัยด้วยการผสาน DevSecOps
   ปี 2024 ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังวางรากฐานการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ปี 2025 จะเป็นอีกปีที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการผสาน AI เข้ากับ DevOps และการพัฒนา Cloud ที่ก้าวล้ำกว่าเดิม

ทั้งนี้ SCB TechX ได้นำความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์การพัฒนา Software ขนาดใหญ่มาพัฒนาเป็นระบบ xPlatform (Platform DevOps as a Service) เพื่อให้ประสบการณ์การทำงานของนักพัฒนา Software ดีขึ้น มอบ Solution ดีๆให้ลูกค้าได้มากขึ้น