Grafana Mimir 3.0 ได้เปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา และนี่ไม่ใช่แค่การเพิ่มเลขเวอร์ชัน แต่เป็น “การยกเครื่องสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่” เพื่อแก้ปัญหาที่ทีม SRE/DevOps เจอกันมานาน โดยเฉพาะเรื่อง Ingestion Latency พุ่ง เวลามีใครรัน Query หนัก ๆ อย่าง sum by ย้อนหลัง 30 วัน วันนี้คุณแทน Platform Services Engineer จะมาแชร์ว่า Mimir 3.0 ดีขึ้นยังไง และช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นแค่ไหนค่ะ
1) Kafka Buffer: แยก Read/Write แบบเด็ดขาด
ปัญหาเดิม Ingester ต้องรับทั้ง Write traffic และ Query พร้อมกันส่งผลให้ CPU/Memory ถูกแย่ง และ Ingest สะดุด ข้อมูลหาย หรือ OOM Crash แต่เวอร์ชันใหม่นี้ ใช้ Kafka (หรือ WarpStream) เป็น write buffer
- Distributor ส่งข้อมูลลง Kafka partition
- Ingester ค่อย ๆ Consume ตามความเร็วตัวเอง
ผลลัพธ์คือ Write path ไม่โดน Query ถล่มอีกต่อไป และ Ingest เสถียรขึ้นมาก
2) MQE: Query Engine ใหม่ที่ทั้งเร็วและเบา
Mimir Query Engine (MQE) ถูกตั้งเป็น Default
- ทำงานแบบ Streaming-first ไม่กิน Memory หนัก
- ลด Peak Memory Usage ได้สูงสุด 92%
- ทำให้ Query ที่มี high-cardinality เร็วขึ้น
- Compatible กับ PromQL 100% ไม่ต้องแก้ Dashboard
3) Scale ง่ายกว่าเดิม + ลดต้นทุนได้จริง เพราะ Read/Write ถูกแยกออกจากกัน
- Scale ฝั่ง Query หรือ Write แยกได้ตามโหลด
- ไม่ต้อง Over-provision ทั้งระบบ
- Grafana Labs รายงานว่า Cluster ใหญ่ ๆ ลด Cost ได้ถึง 15%
สรุป
Mimir 3.0 เปลี่ยนตัวเองจาก Scalable Prometheus สู่ Telemetry Backend ระดับ Enterprise-grade
- เสถียรขึ้นเพราะแยกหน้าที่ชัดเจน
- Query เร็วขึ้นด้วย MQE
- คุม Resource ได้ดีขึ้นและประหยัดกว่าเดิม
ทั้งนี้ถ้าใช้ Mimir 2.x อยู่ให้เช็ก Ingester ตอน Query พุ่ง ถ้าเห็น Contention ควรเริ่มวางแผน Migrate มาใช้ Ingest Storage Architecture ได้เลยค่ะ
ท้ายนี้หากองค์กรของท่านกำลังมองหาโซลูชันด้าน DevOps ช่วยปรับรูปแบบการทำงานให้เป็นอัตโนมัติ ลดต้นทุนการทำธุรกิจ SCB TechX พร้อมเป็นโซลูชันที่ช่วยพัฒนา และ Deliver ผลิตภัณฑ์และบริการออกสู่ตลาด ต่อยอดองค์กรของท่านให้เติบโตอย่างยั่งยืนสนใจบริการโปรดติดต่อเราที่ https://bit.ly/4etA8Ym
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://bit.ly/4dpGl6U
