ใครกำลังมองหาแรงบันดาลใจในการทำงาน การใช้ชีวิต หรือกำลังรู้สึก Burn-Out อยู่นั้น ขอแนะนำให้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ให้จบนะคะ เพราะนอกจากจะได้รับแรงบันดาลใจในรูปแบบใหม่ๆที่อินเทรนด์สุดๆแล้วยังได้แนวทางการใช้ชีวิต การค้นพบความสุขแบบเรียบง่าย ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวัน จากพี่แอน พี่สาวคนสวย คนเก่ง ใจดี มากความสามารถ แถมยังเป็น Café Hopper ไอดอลของเพื่อนๆหลายๆคนอีกด้วย ถ้าพร้อมแล้วไปค้นหาแรงบันดาลใจจากพี่แอน แล้วนำมาเพิ่มพลังบวกให้ชีวิตกันเลยค่ะ หากใครมีแรงบันดาลใจในการทำงานการใช้ชีวิตแนวอื่นๆ มาคอมเมนท์แชร์ไอเดียกันได้นะคะ
มารู้จักพี่แอนกันค่ะ
สวัสดีค่ะ พี่แอนเองนะคะ พี่เป็น Head of Products & Services ดูแลงานของ Product Group1 ซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชัน การบริการต่างๆอาทิ แอป SCB EASY, Line SCB Connect, wPlan, PointX, ChatX, Robinhood, Core Domains, Open APIs และ Health Eco (Spring Up) โดยงานทั้งหมดนี้พี่ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยตัวพี่คนเดียว แต่พี่มีทีมงานที่เก่ง มีความเป็นมืออาชีพคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ให้งานสำเร็จและก้าวหน้าตามเป้าหมายที่วางไว้ในทุกๆวัน งานที่พี่ทำนอกเหนือจากการประชุมเป็นหลัก (5555) คือการช่วยเหลือทีมวางแผนงานในเชิงธุรกิจ เพิ่มรายได้ทำกำไรให้แก่บริษัท วางแผนกำลังคน แก้ไขปัญหา และทุกเรื่องที่ทีมต้องการความช่วยเหลือ พี่จะพยายามมีเวลาให้แก่ทีมเสมอเพื่อที่จะได้เข้าใจว่าแต่ละงานนั้นเป็นอย่างไร อยู่ขั้นตอนไหน มีติดปัญหาอะไรหรือไม่ และอยากให้ช่วยเหลือในจุดใด เป็นต้น นอกเหนือจากงานหลักๆนี้แล้วก็จะมีงานทั่วไปอื่นๆที่พี่ช่วยดูแลค่ะ 🙂
สไตล์การทำงานและบริหารทีมของพี่แอนเป็นอย่างไรคะ
สไตล์การทำงานของพี่คือ การคิดเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของทีม และมีส่วนร่วมในงานที่ทำ พี่เชื่อว่าความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีมจะทำให้เราคิดหาวิธีแก้ปัญหาและทำงานมุ่งสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ การคิดแบบนี้ทำให้เวลาที่พี่ถูกมอบหมายงานพี่จะทุ่มเททำอย่างสุดความสามารถเท่าที่พี่จะทำได้ สำหรับสไตล์การบริหารทีมของพี่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อใจ เปิดเผย ใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายจากทีม พี่พยายามอย่างเต็มที่ให้แนวทางการสื่อสารเป็นแบบเปิดกว้างและชัดเจนที่สุด นอกจากนี้ยังผลักดันให้ทีมมีอำนาจในการทำงานของตนได้อย่างเต็มที่โดยมีพี่ที่พร้อมจะสนับสนุนช่วยเหลือเมื่อไรก็ตามที่ต้องการ ทั้งนี้พี่ยังสนับสนุนเรื่องการจัดลำดับความสำคัญของงาน และ ให้ความสำคัญกับรายละเอียดของงานเพื่อพี่จะได้สามารถสนับสนุนช่วยเหลือทีมได้มากขึ้น สำหรับการนำเสนอไอเดียใหม่ๆหากทดลองทำแล้วพบว่าไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่เราได้เรียนรู้จากสิ่งนั้น แล้วทำให้ทีมเราเก่งขึ้นทำงานต่อไปได้ดีขึ้น สุดท้ายพี่ให้ความสำคัญกับความสุขและความสนุกของทีมด้วย การจัดกิจกรรมต่างๆจะช่วยทำให้ทีมได้คุยกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น ช่วยเหลือกันมากขึ้น และมีความสุขด้วยกันมากขึ้น แน่นอนว่าการทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เป็นสิ่งที่ดีแต่การทำงานที่เกิดจากการมีชีวิตชีวาของทีม ความสุขใจ ความผูกพันซึ่งกันและกัน จะช่วยทำให้เราเต็มใจอยากที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำงานด้วยกัน ประสบความสำเร็จร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน “The team that plays together stays together”
วิธีบริหารจัดการเวลาให้กับงาน ครอบครัว และตัวเอง
55555 พี่ขำเลยเจอคำถามนี้ พูดตรงๆเรื่องการจัดสรรเวลานี่พี่ยังต้องทำให้ดีกว่านี้ ปกติเวลาทั้งสัปดาห์ของพี่จะหมดไปกับการทำงานจนแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย อย่างช่วง Work From Home ถ้าแม่และน้องสาวพี่ไม่ได้มาอยู่ที่คอนโดด้วย พี่คงจะไม่ได้ทานอะไรเลยยกเว้นแซนด์วิชเย็นๆที่หยิบมาทานง่ายๆหน้าคอมฯ ทุกวัน เรื่องเวลาในช่วง วันจันทร์ — วันศุกร์ ยังจำเป็นต้องจัดระเบียบตารางเวลาใหม่ทั้งเรื่องงาน ออกกำลังกาย ครอบครัว และการนอน ซึ่งทุกวันนี้ดีขึ้นพี่พยายามที่จะจัดการงานให้เสร็จภายในทุ่มนึง เพื่อจะได้มีเวลาให้กับลูกชายบ้างและออกกำลังกายบ้าง แม้จะยังเป็นการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปอยู่ก็ตาม แต่สิ่งที่เริ่มทำได้แล้วอย่างจริงจังเลยก็คือพี่เซตให้วันเสาร์ของพี่เป็นวัน no laptop day (ถ้าไม่มีอะไรด่วนเข้ามานะคะ) พี่พยายามจะไม่ทำงานในวันเสาร์โดยเอาเวลานี้ไปให้กับครอบครัว หรือไปเป็นคนขับรถรับ-ส่งลูกทำกิจกรรมต่างๆแทน สำหรับวันอาทิตย์ยังคงเป็นวันพักผ่อนจนกระทั่งช่วงสายๆหน่อยพี่ถึงค่อยเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับสัปดาห์ใหม่ของการทำงาน
แรงบันดาลใจในการทำงาน และ การใช้ชีวิตเป็นอย่างไรคะ
อะไรคือแรงบันดาลใจในการทำงานและการใช้ชีวิตของพี่หรอ? เป็นคำถามที่ดีนะ สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับชีวิตพี่ก็คือการที่พี่ได้ทำในสิ่งที่พี่ชอบทำ พี่ชอบใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เพื่อน และการได้ท่องเที่ยว แต่พอมีการแพร่ระบาดของ Covid-19 การจะพาครอบครัวไปเที่ยว หรือนัดเจอเพื่อนในที่ที่มีคนเยอะๆ ก็อาจเสี่ยงสูง พี่จึงได้แรงบันดาลใจใหม่ขึ้นมาจากงานอดิเรก การท่องเที่ยวที่พี่ชอบแต่เปลี่ยนเป็นการท่องเที่ยวแนวใหม่ เป็นการไปชิมกาแฟผสมใหม่ๆ (coffee blends) พร้อมกับชมสไตล์การออกแบบคาเฟ่หรือร้านกาแฟเก๋ๆรอบเมืองในวันเดียวกันไปด้วย (café hopping) พี่จะใช้เวลาช่วงวันเสาร์ หรือ วันอาทิตย์ อยู่ที่ร้านคาเฟ่เปิดใหม่และนั่งลิสว่าคาเฟ่ไหนที่อยากไปต่อโดยแต่ละที่ที่พี่ไปพี่ก็จะทำบันทึกเก็บรายละเอียดเอาไว้ด้วยว่าแต่ละร้านมีความเป็นมาอย่างไร รสชาติกาแฟรสชาติอาหารเป็นแบบไหน การบริการการออกแบบตกแต่งร้านเป็นแบบใด มีที่จอดรถไหม Rating เท่าไร เป็นต้น (อันนี้แอบบอกว่าลิสที่พี่แอนลงมีประโยชน์มากโดยเฉพาะกับสาย ชอบชิม ชอบช้อป แบบแอดมินที่สุด ร้านที่เล็งๆไว้ก็มาทำการบ้านจากเพจพี่แอนก่อนไปนี่ละค่ะ 5555) นอกจากนี้พี่แอนยังเสริมได้น่าคิดอีกว่า ชีวิตคนเราจริงๆก็เหมือนกับกาแฟนะ อยากให้ชีวิตเราเป็นแบบไหนก็เลือกชง เลือกผสมผสานส่วนประกอบต่างๆในแบบที่เราชอบ หากชิมแล้วยังไม่ชอบก็ชงใหม่จนกว่าเราจะชอบเท่านั้นเอง 🙂
มีวิธีจัดการกับความรู้สึก Burn-out ได้อย่างไรบ้างคะ
Burn-out จริงๆเป็นอาการที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานที่เราไม่สามารถจัดการสิ่งต่างๆได้ตามที่ตั้งใจไว้ คำสำคัญอยู่ที่ตรงนี้เลยค่ะ “การจัดการ” พี่เองก็ยอมรับว่าหลายๆครั้งที่รู้สึกแบบนี้ จะว่าไปอาจบ่อยมากจนทุกคนคิดไม่ถึงเลยก็ได้5555 พี่ว่ามันเป็นเรื่องปกติของทุกวันนี้ในยุคที่อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แถมยังมาพร้อมกับความคาดหวังที่สูงมากด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมรับมือกับอาการเหล่านี้ให้ได้
สิ่งแรกที่พี่อยากแนะนำคือ ให้ลองปรึกษา ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างานที่เราสนิทและไว้ใจดูนะคะ คน TechX น่ารัก พี่ว่าทุกคนพร้อมที่จะเข้าใจและช่วยเหลือเราค่ะ ลำดับต่อมาลองหาเวลาพักช่วงสั้นๆดู อาจจะถอยออกมาจากปัญหาตรงหน้าสักพัก แล้วกลับไปมองปัญหาใหม่อีกครั้งด้วยสมองและใจที่ปลอดโปร่ง บางทีปัญหาอาจไม่ได้ใหญ่อย่างที่คิดเหมือนตอนที่เรากำลังกังวลอย่างมากในตอนแรกก็ได้ สำหรับพี่เวลามีความรู้สึก Burn-out พี่จะพักซัก 20 นาที หรือลาไปพักร้อนช่วงสั้นๆเหล่านี้ช่วยทำให้มุมมองการมองโลก มองปัญหาของเราเปลี่ยนไปได้เลย สมองและจิตใจจะถูกทำให้สดชื่นอีกครั้ง พร้อมที่จะพุ่งชนกับความท้าทายใหม่ๆที่เข้ามา สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักจัดการกับตัวเอง ดึงตัวเองออกมาจากปัญหาให้ได้ ไม่ใช่ยิ่งจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ สู้ลุกขึ้นมาแล้วไปชงกาแฟหรือซื้อไอศครีมช็อคโกแลตซันเดย์ทานดีกว่า J ขอเวลาแค่ 5 นาทีออกมาจากปัญหานั้นเพื่อที่จะกลับเข้าไปใหม่ด้วยความมั่นใจว่าเราสารถเอาชนะได้ การบำบัดผ่านการช้อปปิ้งก็ช่วยเยียวยาอาการ Burn-out ได้นะ แต่ทางเลือกนี้ก็อาจทำให้เงินในกระเป๋าเราลดลงไปเยอะซักหน่อยค่ะ 5555
ขอคำแนะนำให้น้องๆรุ่นใหม่ที่เป็นคนเก่ง มีพลัง แต่พอเจอความผิดหวังมักรู้สึกท้อถอย
หากเจอเหตุการณ์แบบนี้พี่อยากแนะนำให้น้องๆทุกคน “ล้มแล้วลุกขึ้นให้เร็ว” สิ่งนี้พี่เองก็ต้องฝึกทำจนเป็นนิสัยด้วย การ “ล้มแล้วลุกขึ้นให้เร็ว” มันคือความสามารถในการฟื้นตัวจากความพ่ายแพ้ ความล้มเหลวที่เราเจอ เราต้องเรียนรู้แล้วปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมลุกขึ้นสู้ต่อไป ต้องรู้เท่าทันว่าไม่มีอะไรหรือใครจะประสบความสำเร็จไปได้ทุกครั้ง แต่จำไว้เสมอว่าทุกครั้งที่เราลงมือทำเราจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่เราทำ ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น วันนี้วิธีการแก้ปัญหาที่เรานำเสนอทีมอาจยังไม่ตอบโจทย์แต่วันพรุ่งนี้ใครจะรู้มันอาจจะกลายเป็นวิธีการที่สมบูรณ์แบบ และใช่ที่สุดสำหรับ Project อื่นก็ได้ การสร้างประสบการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้การเดินทางของแต่ละคนน่าสนใจ จงใช้พลังบวกนำทางให้ไปต่อ จงกระหายที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ อย่าเผลอท้อถอยต่ออุปสรรค แต่จงรีบลุกขึ้นสู้ตั้งหลักใหม่ให้ได้อีกครั้ง
โปรดแชร์เคล็ดลับการทำงานและการใช้ชีวิตให้มีความสุขค่ะ
จริงๆพี่ไม่ได้มีเคล็ดลับหรือสูตรลับสร้างความสุขอะไรนะคะ แต่พี่ว่าความสุขเกิดขึ้นได้ง่ายๆจาก ความคิด และ ทัศนคติ ของเราค่ะ ความสุขเป็นสิ่งที่ยากที่จะอธิบายได้เพราะแต่ละคนให้นิยามของความสุขแตกต่างกัน แต่สิ่งที่จะนำพาความสุขมาหาเราได้ คือการตั้งเป้าหมายในชีวิตไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ให้เราตั้งใจและพยายามทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ เมื่อเราทำสำเร็จ จะเหมือนมีพลังบวกส่งมาให้เรามีความสุขที่ได้รู้ว่าอย่างน้อยเราก็ได้ประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างในชีวิต อย่างของพี่แอนเอง ความสุขคือการรักษาสมดุลระหว่างการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน การได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว พร้อมๆกับ การมีมิตรสัมพันธ์ที่ดี มีสังคมกับเพื่อน พยายามอย่ามองหาความสุขหรือให้คำนิยามตัวเองจากมาตรฐานของคนอื่นหรือ จากสื่อ Social Media ความเป็นจริงมีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะหยิบยื่นความสุขให้กับตัวเราเองได้ มาให้เวลากับความสุขของตัวเอง ให้เวลาได้เรียนรู้สิ่งรอบตัว และ ประพฤติตนกับผู้อื่นในแบบที่เราอยากให้ผู้อื่นประพฤติกับเราดีกว่านะคะ สุดท้ายนี้พี่ขอฝากคำพูดของ Oscar Wilde ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เสมอในชีวิตประจำวันของเราค่ะ
“If a thing is worth doing, it is worth doing well. If it is worth having, it is worth waiting for. If it is worth attaining, it is worth fighting for. If it is worth experiencing, it is worth putting aside time for”
ขอให้ทุกคนมีความสุขในแบบของตัวเองเพื่อตัวเองและคนที่รักเรานะคะ 🙂