ในแวดวงของการพัฒนาซอฟต์แวร์ ความเร็ว ความปลอดภัย และความลื่นไหลในการดำเนินงานเป็น 3 หัวใจหลักที่องค์กรชั้นนำให้ความสำคัญ ส่งผลให้เกิดการพัฒนา Platform Engineering ที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของทีมพัฒนา (Development) ทีมความปลอดภัย (Security) และทีมปฏิบัติการ (Operation) ขึ้นมานั่นเอง
ในบทความนี้ SCB TechX จะพาไปทำความรู้จักกับ “Platform Engineering” พร้อมไขข้อสงสัยที่ว่า Platform Engineering แตกต่างจาก DevOps และ DevSecOps อย่างไร?
Platform Engineering คืออะไร?
Platform Engineering คือ เครื่องมือที่ใช้ภายในองค์กร ซึ่งเปรียบเสมือนพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อให้ทีมพัฒนา ทีมความปลอดภัย และทีมปฏิบัติการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งมอบซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพ เสถียรภาพ และปลอดภัยให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
โดยแนวคิดของ Platform Engineering มีความคล้ายคลึงกับแนวคิด DevSecOps (Development, Security, and Operations) ที่ผสานการทำงานของทั้ง 3 ทีม เข้าด้วยกัน เพียงแต่ Platform Engineering เป็นเครื่องมือที่จับต้องได้ ในขณะที่ DevSecOps เป็นเพียงแนวคิด
Platform Engineering ต่างจาก DevOps อย่างไร?
DevOps (Development and Operarions) เป็นแนวคิดที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ทีมพัฒนา และทีมปฏิบัติการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการทำงานแบบดั้งเดิมที่ต่างฝ่ายต่างทำก่อให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการส่งมอบซอฟต์แวร์ แต่แนวคิด DevOps ยังมีช่องโหว่ในด้านความปลอดภัย ส่งผลให้มีการพัฒนาแนวคิด DevSecOps ขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผสานการทำงานของทีมความปลอดภัยเข้าไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ทั้ง DevOps และ DevSecOps เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น ซึ่งนำไปใช้จริงในทางปฏิบัติได้ยาก ส่งผลให้ Platform Engineering ถูกพัฒนาขึ้นมา โดยเป็นเครื่องมือที่สามารถจับต้องได้ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
ข้อดีของ Platform Engineering
โดยทั่วไป Platform Engineering เป็นแพลตฟอร์มที่รวมเครื่องมือ และองค์ประกอบต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้แต่ละทีมสามารถใช้แพลตฟอร์มเป็นตัวกลางในการเข้าถึงเครื่องมือ และทำงานร่วมกันได้ เช่น Git, Container Orchestration, CI/CD Pipeline, IaC Tools, Secrets Manager, Identity Management และอื่น ๆ ซึ่งทำเกิดข้อดีมากมาย เช่น
1. เสริมประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน
เมื่อมี Platform Engineering เข้ามาเป็นตัวกลาง ทีมพัฒนา ทีมความปลอดภัย และทีมปฏิบัติการจะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ลดระยะเวลารอคอย ลดภาระการจัดการด้านความปลอดภัย ลดความขัดแย้ง และลดการทำงานซ้ำซ้อน
2. ส่งมอบซอฟต์แวร์ได้รวดเร็วขึ้น
ด้วยระบบ Automation และ Self-Service ของ Platform Engineering จะทำให้ธุรกิจสามารถส่งมอบซอฟต์แวร์คุณภาพให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
3. ประหยัดงบประมาณในระยะยาว
เนื่องจาก Platform Engineering ช่วยลดภาระของแต่ละทีม และทำให้การพัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จเร็วขึ้น ส่งผลให้องค์กรไม่จำเป็นต้องจ้างคนเพิ่ม แม้จะมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งช่วยให้องค์กรประหยัดงบประมาณด้านการว่าจ้างบุคลากรในระยะยาว
4. ติดตามและใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Platform Engineering มีการจัดเก็บประวัติการใช้เครื่องมือและทรัพยากรของทีม ช่วยให้ตรวจสอบ และติดตามการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด และเพิ่มความรับผิดชอบในการทำงานได้มากขึ้นด้วย
5. เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ
หาก Platform Engineering มีการบูรณาการร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ละทีมจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือการทำงานที่ทันสมัยได้อยู่ตลอด
โดยบางองค์กรอาจเลือกการตั้งทีมขึ้นมาใหม่หรือทีมแพลตฟอร์ม สำหรับพัฒนา ดูแล และปรับปรุง Platform Engineering โดยเฉพาะ เพื่อให้ทีมพัฒนา ทีมความปลอดภัย และทีมปฏิบัติการสามารถใช้ Platform Engineering ได้อย่างสะดวก ในขณะที่บางองค์กรเลือกใช้ Platform Engineering แบบสำเร็จรูปแทน เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) สถาบันทางการเงิน และหน่วยงานรัฐ เพราะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นหลัก แต่จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน
ยกตัวอย่าง Platform Engineering สำเร็จรูป
- Spotify Backstage
- Google Cloud Platform
- AWS Elastic Beanstalk
- Microsoft Azure DevOps
- GitLab
โดยทั้งหมดมีฟังก์ชันการใช้งาน ความเสถียร ประสิทธิภาพ และค่าบริการที่แตกต่างกัน
ปลดล็อกศักยภาพ Platform Engineering บนคลาวด์
ปัจจุบัน Platform Engineering มักถูกพัฒนาให้อยู่บนคลาวด์ โดยการนำ Platform Engineering มาใช้บนคลาวด์ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนา และจัดการซอฟต์แวร์ได้อย่างรวดเร็ว ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม Platform Engineering สำเร็จรูปอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของทุกองค์กรได้อย่างลงตัวเสมอไป เนื่องจากแต่ละองค์กรมีรูปแบบการดำเนินงาน เป้าหมาย นโยบาย และเงื่อนไขอื่นๆ ที่แตกต่างกัน ส่งผลให้บางองค์กรต้องใช้ Platform Engineering มากกว่า 1 แพลตฟอร์ม เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการใช้งานได้อย่างทั่วถึง
อีกหนึ่งทางเลือก คือ การมองหา Platform Engineering ที่สามารถออกแบบให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะตัวของแต่ละองค์กรได้ เช่น บริการ xPlatform จาก SCB TechX ที่บูรณาการฟังชั่นก์ต่างๆ ให้ตรงกับความต้องการของแต่ละองค์กรได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ หรือหน่วยงานภาครัฐ
ออกแบบ Platform Engineering ด้วย xPlatform จาก SCB TechX
SCB TechX พร้อมให้บริการ xPlatform เพื่อแก้ปัญหาและข้อจำกัดต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยมีให้เลือก 2 แพคเกจ คือ
Professional Package
สำหรับองค์กรขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เป็นแพคเกจมาตรฐานที่ xPlatform ได้ออกแบบ DevOps best practices ไว้ เพียงลูกค้าสมัครใช้งาน องค์กรของคุณจะสามารถเข้าใช้งานแบบ shared executor บนพื้นฐาน Ecological system ของแพลตฟอร์มได้ทันที
Enterprise Package
สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ในระดับ Enterprise-grade ลูกค้าจะมี Workflow Executor Account บน Server เฉพาะขององค์กรเท่านั้น รวมทั้งมีระบบ Network และระบบ Security เพิ่มเติม ซึ่งสามารถติดตั้งระบบยืนยันตัวตนเข้าใช้งานตามหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานภายในองค์กรของตนเอง ทำให้องค์กรสามารถควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง Environment และ Data ต่างๆ ได้ดีขึ้น
หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญงานพัฒนาซอฟต์แวร์ สามารถติดต่อทีม xPlatform ของเราได้ที่ Email: contact@scbtechx.io
นอกจากนี้ เรายังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่พร้อมให้บริการอย่างครบครัน อาทิ Cloud solution และ TechX Data & AI Solutions
ติดตาม SCB TechX เพื่ออัปเดตข่าวสารใหม่ๆ ก่อนใคร
Facebook: SCB TechX
Medium: medium.com/scb-techx
LinkedIn: www.linkedin.com/company/scb-tech-x/
YouTube: SCB TechX
