จากอดีตสู่ปัจจุบัน: จุดกำเนิดของ Cloud-Native

เมื่อเราย้อนกลับไปสักสิบกว่าปีนั้น การพัฒนาแอปพลิเคชันขององค์กรส่วนใหญ่ยังเป็นแบบ Monolithic ที่ทุกฟังก์ชันยังรวมกันอยู่ในโค้ดก้อนเดียว รันบนเครื่อง Server ใน Data Center ของผู้ให้บริการ ซึ่งการ Update หรือเพิ่ม Feature แต่ละครั้งมักต้องใช้เวลานาน เสี่ยงทำให้ทั้งระบบล่ม และยิ่งองค์กรเติบโตขึ้น ปัญหาการขยายระบบก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ
การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ Cloud Computing และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Container (Docker) และการออกแบบแอปพลิเคชันแบบ Microservices เข้ามา ได้แยกแอปพลิเคชันออกเป็น Service ย่อย ๆ จึงพัฒนาได้อย่างอิสระ ขยายได้ง่าย และนำไปใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานแบบใดก็ได้ ไม่ว่าจะ Public, Private หรือ Hybrid Cloud

ภาพจาก: https://kubernetes.io/images/kubernetes-open-graph.png
และไม่นานหลังจากนั้น Kubernetes ก็ถือกำเนิดขึ้นจาก Google ก่อนจะถูกส่งต่อให้ CNCF ที่ถูกพัฒนาเป็น Open Source และกลายเป็นมาตรฐานสำคัญของการจัดการคอนเทนเนอร์ในระดับองค์กร ซึ่งทุกวันนี้ Kubernetes แทบจะเป็นหัวใจหลักของโลก Cloud-Native
Cloud-Native ให้อะไรกับธุรกิจบ้าง?

- ระบบมีความรวดเร็วและมีความคล่องตัว (Speed and Agility)
ทีมพัฒนาสามารถปล่อย feature ย่อย ๆ ได้โดยไม่ต้องรอทั้งก้อน สามารถลดรอบการพัฒนา (Development Cycle) ธุรกิจจึงตอบสนองตลาดได้ทันเวลา
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร (Resource Efficiency)
Container ทำให้ service รันร่วมกันบนเครื่องเดียวได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งประหยัดเครื่องและค่าใช้จ่าย
- รองรับการปรับขนาดได้ (Scalability)
ด้วยระบบ Auto-Scaling นั้น ระบบสามารถปรับขนาดได้ตามทันทีตามโหลดการใช้งานจริง เพื่อรองรับช่วงที่มีผู้ใช้สูงได้โดยไม่สะดุด
- ระบบมีความเสถียรและยืดหยุ่น (Reliability and Resilience)
การออกแบบที่กระจายการทำงานช่วยให้ระบบทำงานต่อไปได้แม้ส่วนใดส่วนหนึ่งล้มเหลว พร้อมกลไก Self-healing และ Rolling Update ที่ไม่กระทบต่อผู้ใช้งาน
- ลดต้นทุนในระยะยาว (Long-Term Cost Reduction)
ไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อเครื่อง server จำนวนมาก โดยใช้จ่ายเฉพาะที่ใช้จริงตามโมเดล Pay-as-you-go
เรียกได้ว่า Cloud-Native ช่วยทำให้องค์กร เร็วขึ้น ประหยัดขึ้น และยืดหยุ่นขึ้น พร้อมต่อยอดการเติบโตโดยที่ไม่ถูกจำกัดด้วยโครงสร้างเดิม
ความท้าทายในการใช้งาน

ถึงแม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ Cloud-Native ก็ไม่ได้ง่ายไปทั้งหมด เราอาจจะต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้
- ระบบที่มีความซับซ้อนสูง
ระบบกระจายที่ประกอบด้วย Microservice จำนวนมาก ทีมขององค์กรเองจำเป็นต้องอาศัยทักษะและความรู้ความเข้าใจที่ดี ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นภาระของทีมงานได้
- ความเสี่ยงเรื่อง Vendor Lock-In
หากเราพึ่งพาผู้ให้บริการ Cloud รายเดียวเกินไป การที่จะย้ายระบบไปใช้ที่อื่นทำได้ยาก และอาจพลาดโอกาสเลือกสิ่งที่ดีหรือเหมาะสมกว่า
- ความเสี่ยงของความปลอดภัย
การสื่อสารระหว่างบริการจำนวนมากและการเก็บข้อมูลบน Cloud ที่เปิดช่องให้เกิดการโจมตีทาง Cyber หากออกแบบไม่ดีตั้งแต่แรก ค่าความเสียหายจากการรั่วไหลของข้อมูลอาจมีมูลค่าสูงมากกว่าที่คิด
ดังนั้น การก้าวสู่ Cloud-Native จำเป็นต้องวางกลยุทธ์อย่างรอบคอบ เริ่มจากการทดลองเล็ก ๆ ปรับกระบวนการและทีมงานให้พร้อม ก่อนจะนำไปสู่การใช้จริงอย่างเต็มรูปแบบ แต่ถ้าเราจัดการกับความท้าทายได้จะเกิดเป็น Solution ใหม่ ๆ ที่รองรับกับระบบที่มีความซับซ้อนและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การนำไปต่อยอดในอนาคต

ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขององค์กร เราจำเป็นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- Serverless Computing จะทำให้พัฒนาได้ง่ายขึ้น ใช้จ่ายตามการใช้งานจริง ประหยัดและรวดเร็ว
- AI/ML จะถูกทำงานบน Cloud มากขึ้น ทั้งเพื่อทำงานวิเคราะห์เชิงธุรกิจและเพิ่มความอัจฉริยะให้กับระบบ
- Edge Computing จะเข้ามาช่วยงานที่ต้องตอบสนองแบบทันที เช่น IoT รถไร้คนขับ หรือการแพทย์แบบ Real Time
- Multi-Cloud และ Hybrid Cloud จะช่วยให้องค์กรไม่ยึดติดกับผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง และใช้จุดแข็งจากหลายที่มาทำงานร่วมกัน
- Microservices + Kubernetes จะยังเป็นรากฐานหลักของระบบไอทีองค์กร
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าการพัฒนาระบบในอนาคตจะยิ่งยืดหยุ่น คล่องตัว และผสานเทคโนโลยีเข้าหากันอย่างไร้รอยต่อ
สรุปส่งท้าย
Cloud-Native ไม่ใช่เพียงแค่คำศัพท์ใหม่ แต่คือ การเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม และ การพลิกโฉมโครงสร้างระบบไอที ที่ทำให้ธุรกิจพัฒนาได้เร็วกว่าเดิม ระบบเสถียรกว่าเดิม และต้นทุนคุ้มค่ากว่าเดิม
แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์จริง องค์กรต้องเตรียมพร้อมทั้ง คน กระบวนการ และกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่ลงทุนในเครื่องมือ การสร้างทีมที่แข็งแรง การวางมาตรฐานด้านความปลอดภัย และการออกแบบระบบให้มีความยืดหยุ่นคือสิ่งที่ขาดไม่ได้
สุดท้าย การเปลี่ยนผ่านสู่ Cloud-Native อาจเหนื่อยบ้างในช่วงแรก แต่เมื่อผ่านไป องค์กรจะได้รากฐานที่แข็งแรง พร้อมรองรับการเติบโตและนวัตกรรมในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน
ท้ายนี้หากองค์กรของท่านกำลังมองหาโซลูชันด้าน DevOps ช่วยปรับรูปแบบการทำงานให้เป็นอัตโนมัติ ลดต้นทุนการทำธุรกิจ SCB TechX พร้อมเป็นโซลูชันที่ช่วยพัฒนา และ Deliver ผลิตภัณฑ์และบริการออกสู่ตลาด ต่อยอดองค์กรของท่านให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สนใจบริการโปรดติดต่อเราที่ https://bit.ly/4etA8Ym
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://bit.ly/4dpGl6U