ในยุคดิจิทัล เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของคนเราอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่การสื่อสาร การเข้าถึงสื่อ การเรียนการสอน ไปจนถึงการค้าขาย โดยจุดเปลี่ยนนี้ได้ก่อให้เกิดโมเดลธุรกิจยุคดิจิทัล หรือที่เรียกว่า Digital Business ขึ้นมา
แล้ว Digital Business คืออะไร? ในบทความนี้ SCB TechX จะพามารู้จักกับประโยชน์ และ 7 ประเภท Digital Business Model ที่กอบโกยรายได้มหาศาลจากผู้ใช้งานทั่วโลก
Digital Business คืออะไร?
Digital Business Model คือ โมเดลการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับแบบแผนธุรกิจเดิมหรือธุรกิจใหม่ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจ อาทิ
1. เข้าถึงฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น
เทคโนโลยีดิจิทัลเปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างลูกค้าและธุรกิจ ส่งผลให้ธุรกิจเข้าถึงฐานลูกค้าในต่างประเทศได้มากขึ้น
2. เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า
ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการ หรือเยี่ยมชมสินค้าได้แบบออนไลน์ โดยอาศัยการเชื่อมต่อผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ต
3. สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ
Digital Business มีความได้เปรียบทางธุรกิจเหนือกว่าคู่แข่งที่ไม่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งในด้านต้นทุน การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และอื่นๆ
โดย Digital Business จำนวนไม่น้อยเริ่มต้นจากการทำ Digital Transformation จนกลายมาเป็นผู้นำในตลาด และครองใจผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง
7 ประเภท Digital Business
ปัจจุบัน Digital Business ที่พบเห็นได้ทั่วไปมี 7 ประเภท คือ
1. Freemium
แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบริการเบื้องต้นได้ฟรี แต่มีการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับฟีเจอร์เสริม
ยกตัวอย่าง YouTube ที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าชมวิดีโอได้ฟรี แต่หากต้องการรับชมวิดีโออย่างต่อเนื่องแบบไม่มีโฆษณา ผู้ใช้งานจะต้องซื้อบริการเสริมที่เรียกว่า YouTube Premium
2. Subscription
แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ผู้ใช้งานจะต้องสมัคร และชำระค่าสมาชิกก่อนใช้งาน ซึ่งระบบจะทำการเรียกเก็บค่าสมาชิกเป็นประจำทุกเดือน สัปดาห์ หรือปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการให้บริการของธุรกิจนั้นๆ
ยกตัวอย่าง Netflix ที่เริ่มต้นจากบริการให้เช่า DVD ผ่านไปรษณีย์ ก่อนเปลี่ยนมานำเสนอบริการแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพื่อความบันเทิง โดยผู้ใช้งานจะต้องสมัคร และชำระค่าสมาชิกรายเดือน
3. Peer-To-Peer หรือ Two-sided Marketplace
แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โดยมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขาย หรือทั้งจากผู้ซื้อและผู้ขาย
ยกตัวอย่าง Airbnb แพลตฟอร์มให้บริการเช่าจองที่พักในกว่า 220 ประเทศ โดยไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่ได้รับรายได้จากค่าธรรมเนียมการจอง ซึ่งเรียกเก็บจากทั้งผู้เช่าและเจ้าของที่พัก
4. E-Commerce
แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับขายสินค้า โดยเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียน และประกาศขายสินค้าได้ฟรี แต่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับยอดขายที่สำเร็จ ในขณะที่ผู้ซื้อสามารถเข้าใช้แพลตฟอร์มได้ฟรีเช่นกัน และต้องเป็นฝ่ายชำระค่าขนส่งสินค้าให้กับผู้ขาย
ยกตัวอย่าง Shopee แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์แบบครบวงจรที่มีรายได้จากหลายช่องทาง เช่น ค่าธรรมเนียมการขาย ค่าโฆษณา และค่าสมาชิก Shopee Mall
5. On-demand
แพลตฟอร์มออนไลน์นำเสนอบริการต่างๆ ที่ส่งตรงถึงมือผู้ใช้งาน โดยอาศัยอัลกอริทึมจับคู่ผู้ให้บริการกับผู้ใช้งาน และมีระบบชำระเงินภายในตัว
ยกตัวอย่าง GrabFood ที่ให้บริการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ ซึ่งมีรายได้หลักจากค่าธรรมเนียมร้านอาหารและส่วนแบ่งจากไรเดอร์ โดยระบบจะทำการจับคู่ไรเดอร์กับคำสั่งซื้อ เพื่อนำส่งอาหารให้กับผู้ใช้งาน
6. Ad-Supported
แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดให้บริการฟรี แต่เน้นการสร้างรายได้จากโฆษณาเป็นหลัก โดยอาศัยข้อมูลของผู้ใช้งาน เพื่อนำเสนอรูปแบบโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่าง Google ที่เปิดให้ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้ฟรี โดยมีรายได้จากค่าโฆษณา ทั้ง Google Search Ads, Google App Campaigns, Google Discovery Ads และอื่นๆ อีกมากมาย
7. Open Source
แพลตฟอร์มที่เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเข้าถึง ศึกษา แก้ไข เผยแพร่ หรือนำซอร์สโค้ดไปใช้งานต่อได้ โดยสร้างรายได้จากค่าสมาชิก ค่าบริการหรือปรึกษาทางเทคนิค และค่าฝึกอบรม เป็นต้น
ยกตัวอย่าง Red Hat แพลตฟอร์ม Open Source ที่มีการเก็บค่าสมาชิกแบบรายปี และค่าบริการเพิ่มเติมสำหรับการปรึกษา ฝึกอบรม และสนับสนุนทางเทคนิค
บทบาทของ Cloud Platform
Cloud Platform คือ เทคโนโลยีพื้นฐานที่มีบทบาทสำคัญต่อ Digital Business ในหลายด้าน ได้แก่
1. รองรับการเติบโต
Cloud Platform นำเสนอการเข้าถึงโครงสร้างทรัพยากรพื้นฐานด้านไอที (IT) ที่ยืดหยุ่น ซึ่งช่วยรองรับ Digital Business ที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดดได้อย่างลื่นไหล
2. ลดต้นทุน
Digital Business ที่ใช้บริการคลาวด์ไม่จำเป็นต้องลงทุนในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมถึงการดูแล ซ่อมแซม และอัปเกรดด้วยเช่นกัน
3. เพิ่มประสิทธิภาพ
Cloud Platform มีความพร้อมใช้งาน และมีเสถียรภาพสูง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของแพลตฟอร์ม Digital Business สูงขึ้น
4. รองรับ DevOps
Cloud Platform มักมาพร้อมกับฟีเจอร์ DevOps ที่ช่วยให้ Digital Business สามารถสร้าง และนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
5. ยกระดับความปลอดภัย
Cloud Platform ชั้นนำมีการใช้เทคโนโลยี และมาตรการต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลของผู้ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นใช้ Cloud Platform ถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ไม่เคยทำ Digital Transformation มาก่อน ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อสร้างรากฐาน Digital Business ที่แข็งแรงบน Cloud Platform
ทั้งนี้ การว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ Cloud Platform ประจำองค์กรตามมาด้วยต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคลที่สูงขึ้น ส่งผลให้หลายธุรกิจเลือกใช้บริการ Cloud Solutions จากผู้ให้บริการภายนอก เช่น Cloud Solutions จาก SCB TechX ที่นำเสนอบริการหลากหลายรูปแบบ ได้แก่
- Cloud Foundation and Landing Zone: บริการออกแบบ และสร้างสถาปัตยกรรมคลาวด์ที่เหมาะสมกับองค์กร และมีความปลอดภัยตามมาตรฐาน CIS Compliance
- Cloud Security: บริการประเมิน และทดสอบระบบรักษาความปลอดภัย พร้อมติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
- Cloud Migration: บริการวางแผน กำหนดวิธีการ และทดสอบระบบ เพื่อโยกย้ายข้อมูลไปยังคลาวด์
- Cloud Operation Management: บริการติดตามประสิทธิภาพการทำงานของระบบ วิเคราะห์ และจัดการทรัพยากรคลาวด์ให้เหมาะสมกับองค์กร
แนะนำบริการ Cloud Solutions จาก SCB TechX
บริการคลาวด์เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจในยุคดิจิทัล การใช้บริการคลาวด์จากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ธุรกิจของคุณปรับขนาดโครงสร้างพื้นฐานไอทีได้อย่างยืดหยุ่น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูล
SCB TechX พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือองค์กรของคุณในการใช้งานคลาวด์อย่างมีประสิทธิภาพ
ติดต่อทีมงานผู้เชี่ยวชาญบริการ Cloud Solutions ของเราได้ที่ Email: contact@scbtechx.io
